วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ข้อคิด

๑. ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคนไทยควรภาคภูมิใจ
๒. แผ่นดินไทยต้องผ่านการทำศึกสงครามอย่างมากมายกว่าที่ จะมารวมกันเป็นปึกแผ่นอย่างปัจจุบันนี้
๓. พระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อน คือการปกครอง บ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย

โอวาท

โอวาท 8 ประการ 1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที

ความเป็นมา

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. ๒๓๓๓ - ๒๓๙๖) ผู้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๔ และทรงครองเพศสมณะจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง แม้จะทรงมีพระภารกิจด้านศาสนาอยู่มาก แต่ก็ทรงศึกษาหนังสือทั้งด้านศาสนา นิติศาสตร์ โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือได้มากมาย ทางด้านวรรณคดี ทรงมีฝีมือเป็นเลิศในการแต่ง โคลง ฉันท์ และลิลิต

ความเป็นมา

ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีไทยที่แต่งด้วยถ้อยคำไพเราะและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะกวีได้ตอบสนองรสนิยมของคนไทย ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ชอบวรรณศิลป์ ชอบใช้ถ้อยคำที่คล้องจอง คมคาย และชวนคิด ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นหนังสือที่มีศิลปะการใช้ภาษาที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้ชาติความดีเด่นของลิลิตตะเลงพ่ายคือ การเล่นคำและการใช้โวหารอุปมาอุปไมย เพื่อให้เกิดภาพพจน์ จินตนาการ และสะเทือนอารมณ์ กวีได้สอดแทรกความรู้ต่างๆมากมาย เช่น การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยอยุธยา และยุทธศาสตร์แต่ไม่เคร่งครัดในด้านภูมิศาสตร์ นอกจากนี้กวียังได้นำชื่อนกและชื่อต้นไม้มาใช้ในบทครวญถึงนางตามแบบอย่างลิลิตยวนพ่าย

ความหมายของชื่อเรื่อง

ตะเลง แปลว่า มอญ พ่าย แปลว่า แพ้ รวมความหมายว่า มอญแพ้ แต่ในที่นี้ หมายถึง รวมพม่าด้วย เพราะเมื่อพม่าได้ครอบครองดินแดนและยึดเมืองหลวงของมอญ คือ กรุงหงสาวดี เป็นเมืองหลวงของตน พระเจ้าแผ่นดินจึงเป็นพระเจ้าแผ่นดินมอญด้วย และทหารที่เกณฑ์มารบก็มีทหารมอญปะปนมาด้วยมากมาย เราจึงเรียกพม่าและมอญรวมๆไปว่า
" ตะเลง "

ลักษณะคำประพันธ์

ลิลิต คือ คำประพันธ์ชั้นสูง ที่ต้องใช้ถ้อยคำ สำนวนโวหารทั้งของไทย และที่ได้จากต่างประเทศ การแต่งลิลิตจะประกอบด้วยร่าย และโคลง มี ๒ ประเภท
๑.ลิลิตสุภาพ แต่งด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพ ๒.ลิลิตโบราณ แต่งด้วยร่ายดั้น และโครงดั้น

แบบทดสอบ

1. ในการเขียนวรรณกรรมจากพงศาวดาร กวีมักจะต้องสอดแทรกจินตนาการไว้ด้วยเพื่อให้งานเขียนน่าอ่านยิ่งขึ้น ข้อความต่อไปนี้ข้อใดตรงกับคำกล่าวข้างต้น
ส่วนบนของฟอร์ม
ก. ว่าอดิศวรกษัตรา มหาธรรมรชนรินทร์ เจ้าปถพินทร์ผ่านทวีป ดับชนมชีพพิราลัยข. พระแสดงเดชผังผาย กุมแสงกรายกรนาด ยุรยาตรอย่างไกรสร จากศีขรคูหา ค. ทัพหน้าเคลื่อนพลเดิน ลุลำกระเพินบมิหึง จึ่งพระยาจิดตอง ให้พลกรองเวฬูง. แถลงลักษณะปางบรรพ์ มาเทียบ แนะที่ควรเสด็จค้า เศิกไซร้ไกลกรุง


2. คำประพันธ์ในข้อใดที่ใช้คำว่า "ฉัตร" ในความหมายต่างจากข้ออื่น ก. เยียววิวาทชิงฉัตร ข. เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์ ค. ครบสิบหกฉัตรทรง ง. ปักเศวตฉัตรฉานฉาย

3. เหตุการณ์ตอนใดในลิลิตตะเลงพ่ายที่แสดงถึงความฉลาดของสมเด็จพระนเรศวร ก. ตอนเดินทัพและตั้งทัพตามตำราพิชัยสงคราม ข. ตอนพระราชทานอภัยโทษแก่ทหารที่ตามเสด็จไม่ทัน ค. ตอนให้ทหารที่เป็นกองหน้าทำท่าทีเป็นแพ้ถอยอย่างไม่ขบวน ง. ตอนกล่าวเชิญพระมหาอุปราชากระทพสงครามยุทธหัตถี

4. คำประพันธ์ในข้อใดมีลักษระเป็นนิราศ ก. ธก็กรีธาทัพเข้า เนาเมือง ประทับอยู่แรมคืนเคือง สวาทไหม้ ข. คำนึงนฤบดินทร์ บิตุเรศ พระแฮ พระเร่งลานละห้อย เทวษไห้โหยหา ค. พระฝืนทุกข์เทวษกล้ำ แก่ครวญ ขับคชบทจรจวน จักเพล้ ง. แสงจันทร์บ่ส่องสมร หมดเทวษ ถวิลบ่ลืมนวลหน้า แม่แม้นนวลจันทร์

5. ข้อใดมีใจความต่างจากข้ออื่น ก. พระคุณตวงเพียบพื้น ภูวดล เต็มตรลอดแหล่งบน บ่อนใต้ พระเกิดพระก่อชนม์ ชุบชีพ มานา เกรงบ่ทันลูกได้ กลับเต้าตอบสนอง ข. พระเนานัครเรศอ้า เอองค์ ฤาบ่มีใครคง คู่ร้อน จักริจักเริ่มรงค์ ฤาลุ แล้วแฮ พระจักขุ่นจักข้อน จักแค้นคับทรวง ค. เอ็นดูภูธเรศเจ้า จอมถวัลย์ เปลี่ยวอุระราชรัน- ทดแท้ พระชนม์ชราครัน ครองภพ พระเอย เกรงบพิตรจักแพ้ เพลี่ยงพล้ำศึกสยาม ง. พระพลันเห็นเหตุไซร้ เสียวดวง แดแฮ ถนัดดั่งภูผาหลวง ตกต้อง กระหม่ากระเหม็นทรวง สั่นซีด พักตร์นา หนักหฤทัยท่านร้อง เรียกให้โหรให้
6. คำประพันธ์ในข้อใดที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ก. ไต่ถามถึงทุกข์ถ้อย ทวยชน ต่างเสนอสนองกล แก่ท้าว พระดัดคดีดล โดยเยี่ยง ยุกดิ์นา เย็นอุระฤาร้าว ราษฎร์ร้อนห่อนมี ข. พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน อัสดง เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า คือใครจักคุมคง ควรคุ่ เข็ญแฮ อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง ค. พระพึงพิเคราะห์ผู้ ภักดี ท่านนา คือพระยาจักรี กาจแกล้ว พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย กูจักไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน ง. เยียวพิภพแผ่นด้าว ตกไถง ริพิบัติพูนภัย เพิ่มพ้อง สูกันนครใจ ครอเคร่า กูเฮย กูจักพลันคืนป้อง ปกหล้าแหล่งสยาม

7. ข้อใดที่เป็นพิธีที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ ก. ด่วนเดินโดยโขลนทวาร พวกพลหาญแห่หน้า ข. ใจทรนงองอาจ ยาตรตัดไม่ข่มนาม ค. ปวงละว้าเซ่นไก่ ไขว่สรวงพลีผีสาง ง. ฝ่ายพ่อทวิชาชาติ ราชปุริโสดม พรหมพิทยาจารย์
8. สมเด็จพระวันรัตใช้กลวิธีโน้มน้าวใจอย่างไรจึงทำให้สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษประหารชีวิตแก่นายทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน ก. การอธิบายให้เห็นบาปบุญคุณโทษ ข. การอธิบายให้เห็นจริงตามกระบวนการเหตุและผล ค. การอธิบายให้เห็นประโยชน์ของการอภัยโทษ ง. การอธิบายให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของผู้ที่ขอพระราชทานอภัยโทษ

9. ขุนเสียมสามารถต้าน ขุนเตลง ขุนต่อขุนไป่เยง หย่อนห้าว ยอหัตถ์เทิดลบองลเบง อังกุศ ไกวนา งามเร่งงามโทท้าว ท่านสู้ดัสกรคำประพันธ์ข้างต้นนี้ตรงกับรสวรรณคดีข้อใด ก. วีรรส ข. ภยานกรส ค. อัพภูตรส ง. ศฤงคารรส
10. คำประพันธ์ในข้อใดมีคำศัพท์ที่หมายถึงการทำยุทธหัตถี ก. คชยานขัตติเยศเบื้อง ออกถวัลย์ โถมปะทะไป่ทัน เหยียบยั้ง สารทรงราชรามัญ ลงล่าง แลนา เสยส่ายท้ายทันต์ตั้ง คู่ค้ำคางเคิน ข. หัสดินปิ่นธเรศไท้ โททรง คือสมิทธิมาตงค์ หนึ่งอ้าง หนึ่งคือคิริเมลข์มง- คลอาสน์