วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ตอนที่ 1 "เริ่มบทกวี" ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่กำลังปกครองบ้านเมืองในสมัยของผู้ทรงนิพนธ์
ตอนที่ 2 "เหตุการณ์ทางเมืองมอญ" พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2133) จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชานำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยคาดว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจวิวาทชิงราชสมบัติกัน เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำศึก ในตอนแรกพระมหาอุปราชาทรงบ่ายเบี่ยงด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิต แต่เมือพระเจ้านันทบุเรงบริภาษ จึงเกิดขัตติยมานะเสด็จทำสงคราม โดยพระเจ้านันทบบัเรงได้พระราชทานพรให้ชนะศึกและพระบรมราโชวาท ดังนี้ 1. อย่าหูเบาใจเบา โดยฟังหรือดูอะไรอย่างผิวเผิน 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่น 3. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ 4. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา 5. รอบรู้ในการจัดกระบวนทัพ 6. รู้หลักพิชัยสงคราม 7. ให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ 8. พากเพียรไม่เกียจคร้าน

ตอนที่ 3 "พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี" พระมหาอุปราชายกกองทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านระหว่างพม่ากับไทย ก็ทรงขับทหารให้รุกเข้ามาในแดนไทย เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวลัมภาพัดฉัตรหัก โหรทำนายว่าลมนี้เกิดตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดยามเย็นจะดีพระมหาอุปราชาจะได้ชนะไทย พระมหาอุปราชาทรงฟังแล้วยังไม่เชื่อสนิท ทรงคร่ำครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือ ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี ก็ให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทำหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก

ตอนที่ 4 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร" ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์โปรดฯให้เตรียมทัพจะไปตีเขมร แต่ทรงทราบข่าวศึกพม่าจากทูตเมืองกาญจนบุรีจึงทรงระงับเรื่องการไปตีเขมร
ตอนที่ 5 "สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ" สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้พระศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าไปยับยั้งข้าศึก ทั้งสองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในชัยภูมิที่เรียกว่า สีหนาม
ตอนที่ 6 "สมเด็จพระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้หาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพหลวง ญาณโยคโลกทีป โหรหลวงถวายพยากรณ์ว่า สมเด็จพระนเรศวรได้จตุรงคโชคคือ 1. โชคดี 2. วัน เดือน ปี แห่งการรบดี 3. กำลังทหารเข็มแข็ง 4. อาหารสมบูรณ์ และให้เสด็จเคลื่อนทัพจากกรุงศรีอยุธยาในวันอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 นาฬิกา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จกรีธาทัพเรือจากอยุธยาไปขึ้นบกที่ปากโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อทรงพักแรมที่ปากโมกได้เสวยสุบินนิมิตเป็นเทพสังหรณ์ คือ เทวดามาบันดาลให้สุบินว่ามีน้ำท่วมมกาทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยกระแสน้ำเชี่ยวไปปะทะจระเข้ใหญ่ สามารถฆ่าจระเข้ตาย น้ำที่ท่วมมานั้นก็เหือดแห้งไป โหรทำนายว่าพระองค์จะได้ทำยุทธหัตถีและชนะศึกครั้งนี้ เมื่อจะเสด็จกรีธาทัพบกจากปากโมก ขณะคอยฤกษ์งามยามดีก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงสว่างงดงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี่ยงลอยมาจากทิศใต้ และหมุนเวีรยนขวารอบกองทัพสามรอบแล้วลอยไปทางทิศเหนือ นับว่าเป็นศุภนิมิตที่ดียิ่ง เมื่อได้ฤกษ์ยาม สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างชื่อเจ้าพระยาไชยนุภาพ และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร เสด็จกรีธาทัพจากปากโมกถึงหนองสาหร่าย แล้วโปรดฯ ให้ตั้งค่ายทัพหลวงที่หนองสาหร่าย ต่อกับค่ายทัพหน้าในชัยภูมิที่เรียกว่า ครุฑนาม
ตอนที่ 7 "พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะทัพหน้าของไทย"
พระมหาอุปราชาทรงใช้ให้กองลาดตระเวนมาสืบข่าวกองทัพไทย กองลาดตระเวนซึ่งมีสมิงอะคร้านเป็นขุนกอง สมิงเป่อปลัดทัพ กับสมิงซายม่วน มาสืบข่าวถึงหนองสาหร่ายเห็นกำลังกองทัพไทยมีกำลังเพียง 17-18 หมื่น แต่กองทัพพม่ามีถึง 50 หมื่นมากกว่าเกือบสามเท่า จึงรับสั่งให้กองทัพพม่ารีบเข้าโจมตีทัพไทยให้แตกพ่ายไป กองทัพพม่าออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า มาปะทะทัพหน้าของไทย ซึ่งมีพลห้าหมื่นจัดทัพเป็นตรีเสนาเก้ากอง มีผังทัพดังนี้ กองหน้า ปีกซ้าย นายกองหน้า ปีกขวา เจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี
กองหลวง ปีกซ้าย แม่ทัพ ปีกขวา เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี
กองหลัง ปีกซ้าย ปลัดทัพ ปีกขวา เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
กองทัพหน้าของไทยต่อสู้ทัพพม่าอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่กำลังน้อยกว่าจึงสู้พลางถอยพลาง
ตอนที่ 8 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก"
ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ทำพิธีเบิกโขลนทวารและตัดไม้ข่มนาม ก่อนจะเคลื่อนกองทัพหลวง ทรงได้ยินเสียงรบพุ่งจึงให้หมื่นทิพเสนาไปสืบข่าวทรงทราบว่าทัพหน้าไทยต้านทานพม่าไม่ได้ จึงโปรดฯ ให้ทัพหน่าล่าทัพมาโดยไม่รั้งรอเพื่อให้พม่าตามมาอย่างไม่เป็นขบวน และทัพหลวงของไทยจะได้โอบล้อมโจมตีทัพพม่าให้แตกพ่าย
ตอนที่ 9 "ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้เคลื่อนกองทัพหลวง ช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักรตกมันควาญช้างบังคับไม่อยู่ พาทั้งสองพระองค์และควาญช้างเข้าไปท่ามกลางข้าศึก
ตอนที่ 10 "ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย"
สมเด็จพระนเรศวรทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยทรงท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถี ช้างทรงของพระองค์เสียที พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบและใช้พระแสงของ้าวรับอาวุธพระมหาอุปราชาไว้ทัน เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพได้ล่างงัดพลายพัทธกอ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาให้เสียที สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง และสมเด็จพระเอกาทศรถก็สามารถฟันมางจาชโร พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาให้ขาดคอช้างได้ ควาญช้างสมเด็จพระนเรศวรคือนายมหานุภาพ และกลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถคือหมื่นภักดีศวรถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ ที่รอดชีวิตคือเจ้ารามราฆพซึ่งเป็นกลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรและขุนศรีคชคงซึ่งเป็นควาญช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ภายหลัง แม่ทัพนายกองทั้งหลายของไทยจึงตามมาทัน ช่วยกันไล่ฟันทหารพม่าตายมากมาย

ตอนที่ 11 "สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้สร้างพระสถูปครอบพระศพพระมหาอุปราชาไว้ที่ตำบลตระพังตรุ แล้วโปรดฯ ให้เจ้าเมืองมล่วนนำข้อความไปกราบทูลพระเจ้านันทบุเรงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในการสงครามยุทธหัตถีครั้งนี้ แล้วจากนั้นจึงเสด็จกรีธาทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่กลางช้างและควาญช้างของพระองค์และของสมเด็จพระเอกาทศรถ แล้วโปรดฯ ให้ตัดสินลงโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทันตามกฎอัยการศึก คือ ให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันอุโบสถ คือ วันพระ แรม 15 ค่ำ จึงโปรดฯ ให้จองจำแม่ทัพนายกองไว้กอง และให้ประหารชีวิตในวันขึ้น 1 ค
ตอนที่ 12 "สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ"
ถึงวันแรม 15 ค่ำ สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วนำพระราชาคณะ 25 รูปมาเข้าเฝ้า ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แม่ทัพนายกองทั้งหลาย สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษให้โดยให้ทำดีถ่ายโทษ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังไปตีทวายและเจ้าพระยาจักรีไปตีตะนาวศรี และมะริด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น