๑. ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคนไทยควรภาคภูมิใจ
๒. แผ่นดินไทยต้องผ่านการทำศึกสงครามอย่างมากมายกว่าที่ จะมารวมกันเป็นปึกแผ่นอย่างปัจจุบันนี้
๓. พระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อน คือการปกครอง บ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
โอวาท
โอวาท 8 ประการ 1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
ความเป็นมา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. ๒๓๓๓ - ๒๓๙๖) ผู้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๔ และทรงครองเพศสมณะจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง แม้จะทรงมีพระภารกิจด้านศาสนาอยู่มาก แต่ก็ทรงศึกษาหนังสือทั้งด้านศาสนา นิติศาสตร์ โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือได้มากมาย ทางด้านวรรณคดี ทรงมีฝีมือเป็นเลิศในการแต่ง โคลง ฉันท์ และลิลิต
ความเป็นมา
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีไทยที่แต่งด้วยถ้อยคำไพเราะและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะกวีได้ตอบสนองรสนิยมของคนไทย ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ชอบวรรณศิลป์ ชอบใช้ถ้อยคำที่คล้องจอง คมคาย และชวนคิด ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นหนังสือที่มีศิลปะการใช้ภาษาที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้ชาติความดีเด่นของลิลิตตะเลงพ่ายคือ การเล่นคำและการใช้โวหารอุปมาอุปไมย เพื่อให้เกิดภาพพจน์ จินตนาการ และสะเทือนอารมณ์ กวีได้สอดแทรกความรู้ต่างๆมากมาย เช่น การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยอยุธยา และยุทธศาสตร์แต่ไม่เคร่งครัดในด้านภูมิศาสตร์ นอกจากนี้กวียังได้นำชื่อนกและชื่อต้นไม้มาใช้ในบทครวญถึงนางตามแบบอย่างลิลิตยวนพ่าย
ความหมายของชื่อเรื่อง
ตะเลง แปลว่า มอญ พ่าย แปลว่า แพ้ รวมความหมายว่า มอญแพ้ แต่ในที่นี้ หมายถึง รวมพม่าด้วย เพราะเมื่อพม่าได้ครอบครองดินแดนและยึดเมืองหลวงของมอญ คือ กรุงหงสาวดี เป็นเมืองหลวงของตน พระเจ้าแผ่นดินจึงเป็นพระเจ้าแผ่นดินมอญด้วย และทหารที่เกณฑ์มารบก็มีทหารมอญปะปนมาด้วยมากมาย เราจึงเรียกพม่าและมอญรวมๆไปว่า
" ตะเลง "
" ตะเลง "
ลักษณะคำประพันธ์
ลิลิต คือ คำประพันธ์ชั้นสูง ที่ต้องใช้ถ้อยคำ สำนวนโวหารทั้งของไทย และที่ได้จากต่างประเทศ การแต่งลิลิตจะประกอบด้วยร่าย และโคลง มี ๒ ประเภท
๑.ลิลิตสุภาพ แต่งด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพ ๒.ลิลิตโบราณ แต่งด้วยร่ายดั้น และโครงดั้น
๑.ลิลิตสุภาพ แต่งด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพ ๒.ลิลิตโบราณ แต่งด้วยร่ายดั้น และโครงดั้น
แบบทดสอบ
1. ในการเขียนวรรณกรรมจากพงศาวดาร กวีมักจะต้องสอดแทรกจินตนาการไว้ด้วยเพื่อให้งานเขียนน่าอ่านยิ่งขึ้น ข้อความต่อไปนี้ข้อใดตรงกับคำกล่าวข้างต้น
ส่วนบนของฟอร์ม
ก. ว่าอดิศวรกษัตรา มหาธรรมรชนรินทร์ เจ้าปถพินทร์ผ่านทวีป ดับชนมชีพพิราลัยข. พระแสดงเดชผังผาย กุมแสงกรายกรนาด ยุรยาตรอย่างไกรสร จากศีขรคูหา ค. ทัพหน้าเคลื่อนพลเดิน ลุลำกระเพินบมิหึง จึ่งพระยาจิดตอง ให้พลกรองเวฬูง. แถลงลักษณะปางบรรพ์ มาเทียบ แนะที่ควรเสด็จค้า เศิกไซร้ไกลกรุง
2. คำประพันธ์ในข้อใดที่ใช้คำว่า "ฉัตร" ในความหมายต่างจากข้ออื่น ก. เยียววิวาทชิงฉัตร ข. เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์ ค. ครบสิบหกฉัตรทรง ง. ปักเศวตฉัตรฉานฉาย
3. เหตุการณ์ตอนใดในลิลิตตะเลงพ่ายที่แสดงถึงความฉลาดของสมเด็จพระนเรศวร ก. ตอนเดินทัพและตั้งทัพตามตำราพิชัยสงคราม ข. ตอนพระราชทานอภัยโทษแก่ทหารที่ตามเสด็จไม่ทัน ค. ตอนให้ทหารที่เป็นกองหน้าทำท่าทีเป็นแพ้ถอยอย่างไม่ขบวน ง. ตอนกล่าวเชิญพระมหาอุปราชากระทพสงครามยุทธหัตถี
4. คำประพันธ์ในข้อใดมีลักษระเป็นนิราศ ก. ธก็กรีธาทัพเข้า เนาเมือง ประทับอยู่แรมคืนเคือง สวาทไหม้ ข. คำนึงนฤบดินทร์ บิตุเรศ พระแฮ พระเร่งลานละห้อย เทวษไห้โหยหา ค. พระฝืนทุกข์เทวษกล้ำ แก่ครวญ ขับคชบทจรจวน จักเพล้ ง. แสงจันทร์บ่ส่องสมร หมดเทวษ ถวิลบ่ลืมนวลหน้า แม่แม้นนวลจันทร์
5. ข้อใดมีใจความต่างจากข้ออื่น ก. พระคุณตวงเพียบพื้น ภูวดล เต็มตรลอดแหล่งบน บ่อนใต้ พระเกิดพระก่อชนม์ ชุบชีพ มานา เกรงบ่ทันลูกได้ กลับเต้าตอบสนอง ข. พระเนานัครเรศอ้า เอองค์ ฤาบ่มีใครคง คู่ร้อน จักริจักเริ่มรงค์ ฤาลุ แล้วแฮ พระจักขุ่นจักข้อน จักแค้นคับทรวง ค. เอ็นดูภูธเรศเจ้า จอมถวัลย์ เปลี่ยวอุระราชรัน- ทดแท้ พระชนม์ชราครัน ครองภพ พระเอย เกรงบพิตรจักแพ้ เพลี่ยงพล้ำศึกสยาม ง. พระพลันเห็นเหตุไซร้ เสียวดวง แดแฮ ถนัดดั่งภูผาหลวง ตกต้อง กระหม่ากระเหม็นทรวง สั่นซีด พักตร์นา หนักหฤทัยท่านร้อง เรียกให้โหรให้
6. คำประพันธ์ในข้อใดที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ก. ไต่ถามถึงทุกข์ถ้อย ทวยชน ต่างเสนอสนองกล แก่ท้าว พระดัดคดีดล โดยเยี่ยง ยุกดิ์นา เย็นอุระฤาร้าว ราษฎร์ร้อนห่อนมี ข. พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน อัสดง เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า คือใครจักคุมคง ควรคุ่ เข็ญแฮ อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง ค. พระพึงพิเคราะห์ผู้ ภักดี ท่านนา คือพระยาจักรี กาจแกล้ว พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย กูจักไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน ง. เยียวพิภพแผ่นด้าว ตกไถง ริพิบัติพูนภัย เพิ่มพ้อง สูกันนครใจ ครอเคร่า กูเฮย กูจักพลันคืนป้อง ปกหล้าแหล่งสยาม
7. ข้อใดที่เป็นพิธีที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ ก. ด่วนเดินโดยโขลนทวาร พวกพลหาญแห่หน้า ข. ใจทรนงองอาจ ยาตรตัดไม่ข่มนาม ค. ปวงละว้าเซ่นไก่ ไขว่สรวงพลีผีสาง ง. ฝ่ายพ่อทวิชาชาติ ราชปุริโสดม พรหมพิทยาจารย์
8. สมเด็จพระวันรัตใช้กลวิธีโน้มน้าวใจอย่างไรจึงทำให้สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษประหารชีวิตแก่นายทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน ก. การอธิบายให้เห็นบาปบุญคุณโทษ ข. การอธิบายให้เห็นจริงตามกระบวนการเหตุและผล ค. การอธิบายให้เห็นประโยชน์ของการอภัยโทษ ง. การอธิบายให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของผู้ที่ขอพระราชทานอภัยโทษ
9. ขุนเสียมสามารถต้าน ขุนเตลง ขุนต่อขุนไป่เยง หย่อนห้าว ยอหัตถ์เทิดลบองลเบง อังกุศ ไกวนา งามเร่งงามโทท้าว ท่านสู้ดัสกรคำประพันธ์ข้างต้นนี้ตรงกับรสวรรณคดีข้อใด ก. วีรรส ข. ภยานกรส ค. อัพภูตรส ง. ศฤงคารรส
10. คำประพันธ์ในข้อใดมีคำศัพท์ที่หมายถึงการทำยุทธหัตถี ก. คชยานขัตติเยศเบื้อง ออกถวัลย์ โถมปะทะไป่ทัน เหยียบยั้ง สารทรงราชรามัญ ลงล่าง แลนา เสยส่ายท้ายทันต์ตั้ง คู่ค้ำคางเคิน ข. หัสดินปิ่นธเรศไท้ โททรง คือสมิทธิมาตงค์ หนึ่งอ้าง หนึ่งคือคิริเมลข์มง- คลอาสน์
ส่วนบนของฟอร์ม
ก. ว่าอดิศวรกษัตรา มหาธรรมรชนรินทร์ เจ้าปถพินทร์ผ่านทวีป ดับชนมชีพพิราลัยข. พระแสดงเดชผังผาย กุมแสงกรายกรนาด ยุรยาตรอย่างไกรสร จากศีขรคูหา ค. ทัพหน้าเคลื่อนพลเดิน ลุลำกระเพินบมิหึง จึ่งพระยาจิดตอง ให้พลกรองเวฬูง. แถลงลักษณะปางบรรพ์ มาเทียบ แนะที่ควรเสด็จค้า เศิกไซร้ไกลกรุง
2. คำประพันธ์ในข้อใดที่ใช้คำว่า "ฉัตร" ในความหมายต่างจากข้ออื่น ก. เยียววิวาทชิงฉัตร ข. เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์ ค. ครบสิบหกฉัตรทรง ง. ปักเศวตฉัตรฉานฉาย
3. เหตุการณ์ตอนใดในลิลิตตะเลงพ่ายที่แสดงถึงความฉลาดของสมเด็จพระนเรศวร ก. ตอนเดินทัพและตั้งทัพตามตำราพิชัยสงคราม ข. ตอนพระราชทานอภัยโทษแก่ทหารที่ตามเสด็จไม่ทัน ค. ตอนให้ทหารที่เป็นกองหน้าทำท่าทีเป็นแพ้ถอยอย่างไม่ขบวน ง. ตอนกล่าวเชิญพระมหาอุปราชากระทพสงครามยุทธหัตถี
4. คำประพันธ์ในข้อใดมีลักษระเป็นนิราศ ก. ธก็กรีธาทัพเข้า เนาเมือง ประทับอยู่แรมคืนเคือง สวาทไหม้ ข. คำนึงนฤบดินทร์ บิตุเรศ พระแฮ พระเร่งลานละห้อย เทวษไห้โหยหา ค. พระฝืนทุกข์เทวษกล้ำ แก่ครวญ ขับคชบทจรจวน จักเพล้ ง. แสงจันทร์บ่ส่องสมร หมดเทวษ ถวิลบ่ลืมนวลหน้า แม่แม้นนวลจันทร์
5. ข้อใดมีใจความต่างจากข้ออื่น ก. พระคุณตวงเพียบพื้น ภูวดล เต็มตรลอดแหล่งบน บ่อนใต้ พระเกิดพระก่อชนม์ ชุบชีพ มานา เกรงบ่ทันลูกได้ กลับเต้าตอบสนอง ข. พระเนานัครเรศอ้า เอองค์ ฤาบ่มีใครคง คู่ร้อน จักริจักเริ่มรงค์ ฤาลุ แล้วแฮ พระจักขุ่นจักข้อน จักแค้นคับทรวง ค. เอ็นดูภูธเรศเจ้า จอมถวัลย์ เปลี่ยวอุระราชรัน- ทดแท้ พระชนม์ชราครัน ครองภพ พระเอย เกรงบพิตรจักแพ้ เพลี่ยงพล้ำศึกสยาม ง. พระพลันเห็นเหตุไซร้ เสียวดวง แดแฮ ถนัดดั่งภูผาหลวง ตกต้อง กระหม่ากระเหม็นทรวง สั่นซีด พักตร์นา หนักหฤทัยท่านร้อง เรียกให้โหรให้
6. คำประพันธ์ในข้อใดที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ก. ไต่ถามถึงทุกข์ถ้อย ทวยชน ต่างเสนอสนองกล แก่ท้าว พระดัดคดีดล โดยเยี่ยง ยุกดิ์นา เย็นอุระฤาร้าว ราษฎร์ร้อนห่อนมี ข. พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน อัสดง เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า คือใครจักคุมคง ควรคุ่ เข็ญแฮ อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง ค. พระพึงพิเคราะห์ผู้ ภักดี ท่านนา คือพระยาจักรี กาจแกล้ว พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย กูจักไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน ง. เยียวพิภพแผ่นด้าว ตกไถง ริพิบัติพูนภัย เพิ่มพ้อง สูกันนครใจ ครอเคร่า กูเฮย กูจักพลันคืนป้อง ปกหล้าแหล่งสยาม
7. ข้อใดที่เป็นพิธีที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ ก. ด่วนเดินโดยโขลนทวาร พวกพลหาญแห่หน้า ข. ใจทรนงองอาจ ยาตรตัดไม่ข่มนาม ค. ปวงละว้าเซ่นไก่ ไขว่สรวงพลีผีสาง ง. ฝ่ายพ่อทวิชาชาติ ราชปุริโสดม พรหมพิทยาจารย์
8. สมเด็จพระวันรัตใช้กลวิธีโน้มน้าวใจอย่างไรจึงทำให้สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษประหารชีวิตแก่นายทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน ก. การอธิบายให้เห็นบาปบุญคุณโทษ ข. การอธิบายให้เห็นจริงตามกระบวนการเหตุและผล ค. การอธิบายให้เห็นประโยชน์ของการอภัยโทษ ง. การอธิบายให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของผู้ที่ขอพระราชทานอภัยโทษ
9. ขุนเสียมสามารถต้าน ขุนเตลง ขุนต่อขุนไป่เยง หย่อนห้าว ยอหัตถ์เทิดลบองลเบง อังกุศ ไกวนา งามเร่งงามโทท้าว ท่านสู้ดัสกรคำประพันธ์ข้างต้นนี้ตรงกับรสวรรณคดีข้อใด ก. วีรรส ข. ภยานกรส ค. อัพภูตรส ง. ศฤงคารรส
10. คำประพันธ์ในข้อใดมีคำศัพท์ที่หมายถึงการทำยุทธหัตถี ก. คชยานขัตติเยศเบื้อง ออกถวัลย์ โถมปะทะไป่ทัน เหยียบยั้ง สารทรงราชรามัญ ลงล่าง แลนา เสยส่ายท้ายทันต์ตั้ง คู่ค้ำคางเคิน ข. หัสดินปิ่นธเรศไท้ โททรง คือสมิทธิมาตงค์ หนึ่งอ้าง หนึ่งคือคิริเมลข์มง- คลอาสน์
ตอนที่ 1 "เริ่มบทกวี" ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่กำลังปกครองบ้านเมืองในสมัยของผู้ทรงนิพนธ์
ตอนที่ 2 "เหตุการณ์ทางเมืองมอญ" พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2133) จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชานำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยคาดว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจวิวาทชิงราชสมบัติกัน เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำศึก ในตอนแรกพระมหาอุปราชาทรงบ่ายเบี่ยงด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิต แต่เมือพระเจ้านันทบุเรงบริภาษ จึงเกิดขัตติยมานะเสด็จทำสงคราม โดยพระเจ้านันทบบัเรงได้พระราชทานพรให้ชนะศึกและพระบรมราโชวาท ดังนี้ 1. อย่าหูเบาใจเบา โดยฟังหรือดูอะไรอย่างผิวเผิน 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่น 3. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ 4. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา 5. รอบรู้ในการจัดกระบวนทัพ 6. รู้หลักพิชัยสงคราม 7. ให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ 8. พากเพียรไม่เกียจคร้าน
ตอนที่ 3 "พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี" พระมหาอุปราชายกกองทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านระหว่างพม่ากับไทย ก็ทรงขับทหารให้รุกเข้ามาในแดนไทย เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวลัมภาพัดฉัตรหัก โหรทำนายว่าลมนี้เกิดตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดยามเย็นจะดีพระมหาอุปราชาจะได้ชนะไทย พระมหาอุปราชาทรงฟังแล้วยังไม่เชื่อสนิท ทรงคร่ำครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือ ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี ก็ให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทำหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก
ตอนที่ 4 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร" ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์โปรดฯให้เตรียมทัพจะไปตีเขมร แต่ทรงทราบข่าวศึกพม่าจากทูตเมืองกาญจนบุรีจึงทรงระงับเรื่องการไปตีเขมร
ตอนที่ 5 "สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ" สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้พระศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าไปยับยั้งข้าศึก ทั้งสองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในชัยภูมิที่เรียกว่า สีหนาม
ตอนที่ 6 "สมเด็จพระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้หาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพหลวง ญาณโยคโลกทีป โหรหลวงถวายพยากรณ์ว่า สมเด็จพระนเรศวรได้จตุรงคโชคคือ 1. โชคดี 2. วัน เดือน ปี แห่งการรบดี 3. กำลังทหารเข็มแข็ง 4. อาหารสมบูรณ์ และให้เสด็จเคลื่อนทัพจากกรุงศรีอยุธยาในวันอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 นาฬิกา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จกรีธาทัพเรือจากอยุธยาไปขึ้นบกที่ปากโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อทรงพักแรมที่ปากโมกได้เสวยสุบินนิมิตเป็นเทพสังหรณ์ คือ เทวดามาบันดาลให้สุบินว่ามีน้ำท่วมมกาทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยกระแสน้ำเชี่ยวไปปะทะจระเข้ใหญ่ สามารถฆ่าจระเข้ตาย น้ำที่ท่วมมานั้นก็เหือดแห้งไป โหรทำนายว่าพระองค์จะได้ทำยุทธหัตถีและชนะศึกครั้งนี้ เมื่อจะเสด็จกรีธาทัพบกจากปากโมก ขณะคอยฤกษ์งามยามดีก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงสว่างงดงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี่ยงลอยมาจากทิศใต้ และหมุนเวีรยนขวารอบกองทัพสามรอบแล้วลอยไปทางทิศเหนือ นับว่าเป็นศุภนิมิตที่ดียิ่ง เมื่อได้ฤกษ์ยาม สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างชื่อเจ้าพระยาไชยนุภาพ และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร เสด็จกรีธาทัพจากปากโมกถึงหนองสาหร่าย แล้วโปรดฯ ให้ตั้งค่ายทัพหลวงที่หนองสาหร่าย ต่อกับค่ายทัพหน้าในชัยภูมิที่เรียกว่า ครุฑนาม
ตอนที่ 7 "พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะทัพหน้าของไทย"
พระมหาอุปราชาทรงใช้ให้กองลาดตระเวนมาสืบข่าวกองทัพไทย กองลาดตระเวนซึ่งมีสมิงอะคร้านเป็นขุนกอง สมิงเป่อปลัดทัพ กับสมิงซายม่วน มาสืบข่าวถึงหนองสาหร่ายเห็นกำลังกองทัพไทยมีกำลังเพียง 17-18 หมื่น แต่กองทัพพม่ามีถึง 50 หมื่นมากกว่าเกือบสามเท่า จึงรับสั่งให้กองทัพพม่ารีบเข้าโจมตีทัพไทยให้แตกพ่ายไป กองทัพพม่าออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า มาปะทะทัพหน้าของไทย ซึ่งมีพลห้าหมื่นจัดทัพเป็นตรีเสนาเก้ากอง มีผังทัพดังนี้ กองหน้า ปีกซ้าย นายกองหน้า ปีกขวา เจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี
กองหลวง ปีกซ้าย แม่ทัพ ปีกขวา เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี
กองหลัง ปีกซ้าย ปลัดทัพ ปีกขวา เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
กองทัพหน้าของไทยต่อสู้ทัพพม่าอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่กำลังน้อยกว่าจึงสู้พลางถอยพลาง
ตอนที่ 8 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก"
ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ทำพิธีเบิกโขลนทวารและตัดไม้ข่มนาม ก่อนจะเคลื่อนกองทัพหลวง ทรงได้ยินเสียงรบพุ่งจึงให้หมื่นทิพเสนาไปสืบข่าวทรงทราบว่าทัพหน้าไทยต้านทานพม่าไม่ได้ จึงโปรดฯ ให้ทัพหน่าล่าทัพมาโดยไม่รั้งรอเพื่อให้พม่าตามมาอย่างไม่เป็นขบวน และทัพหลวงของไทยจะได้โอบล้อมโจมตีทัพพม่าให้แตกพ่าย
ตอนที่ 9 "ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้เคลื่อนกองทัพหลวง ช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักรตกมันควาญช้างบังคับไม่อยู่ พาทั้งสองพระองค์และควาญช้างเข้าไปท่ามกลางข้าศึก
ตอนที่ 10 "ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย"
สมเด็จพระนเรศวรทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยทรงท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถี ช้างทรงของพระองค์เสียที พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบและใช้พระแสงของ้าวรับอาวุธพระมหาอุปราชาไว้ทัน เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพได้ล่างงัดพลายพัทธกอ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาให้เสียที สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง และสมเด็จพระเอกาทศรถก็สามารถฟันมางจาชโร พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาให้ขาดคอช้างได้ ควาญช้างสมเด็จพระนเรศวรคือนายมหานุภาพ และกลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถคือหมื่นภักดีศวรถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ ที่รอดชีวิตคือเจ้ารามราฆพซึ่งเป็นกลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรและขุนศรีคชคงซึ่งเป็นควาญช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ภายหลัง แม่ทัพนายกองทั้งหลายของไทยจึงตามมาทัน ช่วยกันไล่ฟันทหารพม่าตายมากมาย
ตอนที่ 11 "สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้สร้างพระสถูปครอบพระศพพระมหาอุปราชาไว้ที่ตำบลตระพังตรุ แล้วโปรดฯ ให้เจ้าเมืองมล่วนนำข้อความไปกราบทูลพระเจ้านันทบุเรงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในการสงครามยุทธหัตถีครั้งนี้ แล้วจากนั้นจึงเสด็จกรีธาทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่กลางช้างและควาญช้างของพระองค์และของสมเด็จพระเอกาทศรถ แล้วโปรดฯ ให้ตัดสินลงโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทันตามกฎอัยการศึก คือ ให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันอุโบสถ คือ วันพระ แรม 15 ค่ำ จึงโปรดฯ ให้จองจำแม่ทัพนายกองไว้กอง และให้ประหารชีวิตในวันขึ้น 1 ค
ตอนที่ 12 "สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ"
ถึงวันแรม 15 ค่ำ สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วนำพระราชาคณะ 25 รูปมาเข้าเฝ้า ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แม่ทัพนายกองทั้งหลาย สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษให้โดยให้ทำดีถ่ายโทษ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังไปตีทวายและเจ้าพระยาจักรีไปตีตะนาวศรี และมะริด
ตอนที่ 2 "เหตุการณ์ทางเมืองมอญ" พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2133) จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชานำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยคาดว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจวิวาทชิงราชสมบัติกัน เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำศึก ในตอนแรกพระมหาอุปราชาทรงบ่ายเบี่ยงด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิต แต่เมือพระเจ้านันทบุเรงบริภาษ จึงเกิดขัตติยมานะเสด็จทำสงคราม โดยพระเจ้านันทบบัเรงได้พระราชทานพรให้ชนะศึกและพระบรมราโชวาท ดังนี้ 1. อย่าหูเบาใจเบา โดยฟังหรือดูอะไรอย่างผิวเผิน 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่น 3. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ 4. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา 5. รอบรู้ในการจัดกระบวนทัพ 6. รู้หลักพิชัยสงคราม 7. ให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ 8. พากเพียรไม่เกียจคร้าน
ตอนที่ 3 "พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี" พระมหาอุปราชายกกองทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านระหว่างพม่ากับไทย ก็ทรงขับทหารให้รุกเข้ามาในแดนไทย เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวลัมภาพัดฉัตรหัก โหรทำนายว่าลมนี้เกิดตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดยามเย็นจะดีพระมหาอุปราชาจะได้ชนะไทย พระมหาอุปราชาทรงฟังแล้วยังไม่เชื่อสนิท ทรงคร่ำครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือ ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี ก็ให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทำหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก
ตอนที่ 4 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร" ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์โปรดฯให้เตรียมทัพจะไปตีเขมร แต่ทรงทราบข่าวศึกพม่าจากทูตเมืองกาญจนบุรีจึงทรงระงับเรื่องการไปตีเขมร
ตอนที่ 5 "สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ" สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้พระศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าไปยับยั้งข้าศึก ทั้งสองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในชัยภูมิที่เรียกว่า สีหนาม
ตอนที่ 6 "สมเด็จพระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้หาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพหลวง ญาณโยคโลกทีป โหรหลวงถวายพยากรณ์ว่า สมเด็จพระนเรศวรได้จตุรงคโชคคือ 1. โชคดี 2. วัน เดือน ปี แห่งการรบดี 3. กำลังทหารเข็มแข็ง 4. อาหารสมบูรณ์ และให้เสด็จเคลื่อนทัพจากกรุงศรีอยุธยาในวันอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 นาฬิกา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จกรีธาทัพเรือจากอยุธยาไปขึ้นบกที่ปากโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อทรงพักแรมที่ปากโมกได้เสวยสุบินนิมิตเป็นเทพสังหรณ์ คือ เทวดามาบันดาลให้สุบินว่ามีน้ำท่วมมกาทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยกระแสน้ำเชี่ยวไปปะทะจระเข้ใหญ่ สามารถฆ่าจระเข้ตาย น้ำที่ท่วมมานั้นก็เหือดแห้งไป โหรทำนายว่าพระองค์จะได้ทำยุทธหัตถีและชนะศึกครั้งนี้ เมื่อจะเสด็จกรีธาทัพบกจากปากโมก ขณะคอยฤกษ์งามยามดีก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงสว่างงดงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี่ยงลอยมาจากทิศใต้ และหมุนเวีรยนขวารอบกองทัพสามรอบแล้วลอยไปทางทิศเหนือ นับว่าเป็นศุภนิมิตที่ดียิ่ง เมื่อได้ฤกษ์ยาม สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างชื่อเจ้าพระยาไชยนุภาพ และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร เสด็จกรีธาทัพจากปากโมกถึงหนองสาหร่าย แล้วโปรดฯ ให้ตั้งค่ายทัพหลวงที่หนองสาหร่าย ต่อกับค่ายทัพหน้าในชัยภูมิที่เรียกว่า ครุฑนาม
ตอนที่ 7 "พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะทัพหน้าของไทย"
พระมหาอุปราชาทรงใช้ให้กองลาดตระเวนมาสืบข่าวกองทัพไทย กองลาดตระเวนซึ่งมีสมิงอะคร้านเป็นขุนกอง สมิงเป่อปลัดทัพ กับสมิงซายม่วน มาสืบข่าวถึงหนองสาหร่ายเห็นกำลังกองทัพไทยมีกำลังเพียง 17-18 หมื่น แต่กองทัพพม่ามีถึง 50 หมื่นมากกว่าเกือบสามเท่า จึงรับสั่งให้กองทัพพม่ารีบเข้าโจมตีทัพไทยให้แตกพ่ายไป กองทัพพม่าออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า มาปะทะทัพหน้าของไทย ซึ่งมีพลห้าหมื่นจัดทัพเป็นตรีเสนาเก้ากอง มีผังทัพดังนี้ กองหน้า ปีกซ้าย นายกองหน้า ปีกขวา เจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี
กองหลวง ปีกซ้าย แม่ทัพ ปีกขวา เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี
กองหลัง ปีกซ้าย ปลัดทัพ ปีกขวา เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
กองทัพหน้าของไทยต่อสู้ทัพพม่าอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่กำลังน้อยกว่าจึงสู้พลางถอยพลาง
ตอนที่ 8 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก"
ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ทำพิธีเบิกโขลนทวารและตัดไม้ข่มนาม ก่อนจะเคลื่อนกองทัพหลวง ทรงได้ยินเสียงรบพุ่งจึงให้หมื่นทิพเสนาไปสืบข่าวทรงทราบว่าทัพหน้าไทยต้านทานพม่าไม่ได้ จึงโปรดฯ ให้ทัพหน่าล่าทัพมาโดยไม่รั้งรอเพื่อให้พม่าตามมาอย่างไม่เป็นขบวน และทัพหลวงของไทยจะได้โอบล้อมโจมตีทัพพม่าให้แตกพ่าย
ตอนที่ 9 "ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้เคลื่อนกองทัพหลวง ช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักรตกมันควาญช้างบังคับไม่อยู่ พาทั้งสองพระองค์และควาญช้างเข้าไปท่ามกลางข้าศึก
ตอนที่ 10 "ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย"
สมเด็จพระนเรศวรทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยทรงท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถี ช้างทรงของพระองค์เสียที พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบและใช้พระแสงของ้าวรับอาวุธพระมหาอุปราชาไว้ทัน เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพได้ล่างงัดพลายพัทธกอ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาให้เสียที สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง และสมเด็จพระเอกาทศรถก็สามารถฟันมางจาชโร พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาให้ขาดคอช้างได้ ควาญช้างสมเด็จพระนเรศวรคือนายมหานุภาพ และกลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถคือหมื่นภักดีศวรถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ ที่รอดชีวิตคือเจ้ารามราฆพซึ่งเป็นกลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรและขุนศรีคชคงซึ่งเป็นควาญช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ภายหลัง แม่ทัพนายกองทั้งหลายของไทยจึงตามมาทัน ช่วยกันไล่ฟันทหารพม่าตายมากมาย
ตอนที่ 11 "สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้สร้างพระสถูปครอบพระศพพระมหาอุปราชาไว้ที่ตำบลตระพังตรุ แล้วโปรดฯ ให้เจ้าเมืองมล่วนนำข้อความไปกราบทูลพระเจ้านันทบุเรงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในการสงครามยุทธหัตถีครั้งนี้ แล้วจากนั้นจึงเสด็จกรีธาทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่กลางช้างและควาญช้างของพระองค์และของสมเด็จพระเอกาทศรถ แล้วโปรดฯ ให้ตัดสินลงโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทันตามกฎอัยการศึก คือ ให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันอุโบสถ คือ วันพระ แรม 15 ค่ำ จึงโปรดฯ ให้จองจำแม่ทัพนายกองไว้กอง และให้ประหารชีวิตในวันขึ้น 1 ค
ตอนที่ 12 "สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ"
ถึงวันแรม 15 ค่ำ สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วนำพระราชาคณะ 25 รูปมาเข้าเฝ้า ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แม่ทัพนายกองทั้งหลาย สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษให้โดยให้ทำดีถ่ายโทษ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังไปตีทวายและเจ้าพระยาจักรีไปตีตะนาวศรี และมะริด
ตอนที่ 12 สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ ยังไม่พ้นเวลาที่สมเด็จพระนเรศวรทรงกำหนดไว้ พอถึงวันแรม 15 ค่ำ เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะ 25 องค์สองแผนก คือ ฝ่ายคามวาสี และ อรัญวาสี พากันไปยังพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้นิมนต์เข้าไปในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรทรงประนมพระหัตถ์แสดงคารวะ พระวันรัตได้ทูลถามข่าวที่สมเด็จพระนเรศวรทำยุทธหัตถีจนพระมหาอุปราชาขาดคอช้าง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเล่าจบ พระวันรัตกราบทูลว่า พระมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงได้รับชัยชนะ เหตุใดเล่าเหล่าบริพารจึงต้องโทษ ได้ยินแล้วที่สงสัย สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสต่อไปว่า แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งได้รับเกณฑ์เข้าในกองทัพ เมื่อเห็นข้าศึกก็ตกใจกลัว ยิ่งกว่ากลัวพระองค์ซึ่งเป็นเจ้านาย ไม่ตามเสด็จให้ทัน ปล่อยให้พระองค์สองพี่น้องเข้าสู้รบท่ามกลางข้าศึกจำนวนมากจนมีชัยชนะรอดพ้นความตายจึงได้มาดูหน้าพวกทหารเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะคุณความดียิ่งใหญ่ที่ได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองไว้คอยอุดหนุนพระบรมเดชานุภาพของพระองค์สองพี่น้อง ถ้าไม่ได้ความดีแต่เก่าแล้ว ประเทศไทยจะต้องสิ้นอำนาจเสียแผ่นดินแก่กรุงหงสาวดีเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศ จึงควรลงโทษถึงตายตามพระอัยการศึกเพื่อให้เป็นตัวอย่างมิให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างสืบไป สมเด็จพระวันรัตจึงกราบทูลว่า “ บรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทล้วนมีความจงรักภักดี เป็นการผิดแปลกไปจากแบบแผนแต่ก่อนที่ว่าไม่จงรักยำเกรงพระองค์ ทั้งนี้เพราะพระบรมเดชานุภาพสำแดงให้ปรากฏแก่ปวงชนเป็นที่น่าอัศจรรย์จึงบันดาลให้เป็นเช่นนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ( พระตรีโลกนาถ ) ทรงชนะพระยามารลำพังพระองค์เอง เช่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวร พระเอกาทศรถ เสด็จไปปราบอริราชศัตรูจนแพ้พ่ายโดยปราศจากไพร่พล พระเกียรติยศจึงเลื่องลือกึกก้องไปทั่วทุกแห่งหน หากมีทหารล้อมมากมายถึงเอาชนะได้ พระเกียรติยศก็ไม่ฟุ้งเฟื่องเพิ่มพูนขึ้น และกษัตริย์ทั้งหลายก็จะไม่พากันออกพระนามเอิกเกริกกันเช่นนี้ ขอพระองค์ทั้งสองอย่าได้โทมนัสน้อยพระทัยไปเลย ทั้งนี้เพราะเพื่อราชกฤฎาภินิหารของพระองค์ ทวยเทพทั้งหลายจึงบันดาลให้เป็นไปดังนั้น ขอมหาบพิตรทั้งสองพระองค์ อย่าได้ทรงขุ่นแค้นพระทัยไปเลย ทั้งนี้เป็นไปตามที่กราบทูลทุกประการ ” สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงฟังพระวันรัตถวายวิสัชนาบรรยายโดยพิสดารโดยวิธีเปรียบเทียบกับกฤฎาภินิหารแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงปราโมทย์ ออกพระโอษฐ์สาธุถวายนมัสการแล้วตรัสว่า พระวันรัตกล่าวคำน่าขอบใจ ทุกสิ่งที่ชี้แจงสมควรและเป็นจริงไม่สงสัยแม้แต่น้อย พระวันรัตเห็นว่าทรงคลายกริ้วแม่ทัพนายกองแล้ว จึงกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งปวง แล้วกราบทูลต่อไปว่า แม่ทัพนายกองเหล่านี้มีความผิดรุนแรง ควรได้รับโทษทั้งโคตร แต่เคยได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาแต่ก่อนนับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระบรมราชอัยกา และสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดา จนล่วงถึงสมเด็จพระนเรศวรได้ขึ้นครองราชสมบัติ เปรียบได้กับพุทธบริษัททั้งปวง ช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาต่อมา ขอให้พระองค์ทรงงดโทษประหารชีวิตแม่ทัพนายกองไว้สักครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นกำลังส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพ เมื่อศึกสงครามเกิดขึ้นอีก เขาเหล่านั้นจะคิดแก้ตัว หาความดีความชอบเพื่อเพิ่มพูนพระบารมีให้แผ่ไปทั่วบ้านเมืองชองพระองค์เป็นแน่ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงสดับข้อความของพระวันรัตที่ทูลขออภัยบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ก็ทรงพระกรุณาที่ว่าบุคคลเหล่านี้ยังจงรักภักดีต่อพระองค์อยู่ จึงพระราชทานอภัยโทษตามคำทูลของพระวันรัต แต่ทรงเห็นสมควรที่จะใช้ให้ไปตีเมืองตะนาวศรี ทวาย และ มะริด เป็นการชดเชยความผิด สมเด็จพระวันรัตกราบทูลว่า การรบทัพจับศึกไม่ใช่กิจอันควรที่พระภิกษุจะเห็นด้วย พระองค์จะทรงมีพระราชบัญชาใช้สอยประการใดสุดแล้วแต่พระราชอัธยาศัย แล้วสมเด็จพระวันรัตถวายพระพรลา พาคณะสงฆ์กลับวัด สมเด็จพระนเรศวรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพนายกองพ้นโทษและคงดำรงตำแหน่งยศเดิม สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระราชกำหนดให้ เจ้าพระยาคลังคุมทหาร 50,000 คน ไปตีเมืองทวาย ให้เจ้าพระยาจักรีคุมทัพจำนวนรี้พลเท่ากันไปตีเมือง มะริด และ ตะนาวศรี มหาอำมาตย์ทั้งสองกราบถวายบังคมลาไปเตรียมทัพยกไปทันที แล้วทั้งสองพระองค์ก็มีพระราชดำรัสถึงหัวเมืองฝ่ายเหนือว่า ไทยได้กวาดต้อนครอบครัวเข้ามาจำนวนมากแต่ยังไม่หมด ทรงมีพระราชดำริว่าถึงศึก พม่า มอญ ว่าคงจะลดลงถึงจะยกมาก็คงไม่น่ากลัว ควรจะได้ทะนุบำรุงหัวเมืองฝ่ายเหนือไว้ให้รุ่งเรืองปรากฏเป็นเกียรติยศสืบต่อไปชั่วกัลปาวสาน
: ตอนที่ 11 พระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้สร้างสถูปสวมทับที่พระองค์ทรงทำยุทธหัตถี ณ ตำบลตระพังตรุ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสืบต่อไป เสร็จศึกยุทธหัตถีแล้ว สมเด็จพระนเรศวรโปรดให้เจ้าเมือง รวมทั้งควาญช้างกลับ ไปแจ้งข่าวการแพ้สงครามและการสิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชาแก่พระเจ้าหงสาวดี แล้วพระองค์ก็ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ชื่อเสียงของกรุงศรีอยุธยาก็ลือเลื่องไปทั้งแผ่นดิน จากนั้นก็ทรงปรารภเรื่องการพระราชทานความดีความชอบแก่ พระยารามราฆพ ( กลางช้างของพระนเรศวร ) และ ขุนศรีคชคง ( ควาญช้างของพระเอกาทศรถ ) โดยพระราชทานบำเหน็จ เครื่องอุปโภค เงิน ทอง ทาส และเชลยให้แล้วก็พระราชทานบำนาญแก่บุตรภรรยาของ นายมหานุภาพ และ หมื่นภักดีศวร ที่เสียชีวิตในสงครามให้สมกับความดีความชอบและที่มีความภักดีต่อพระองค์ ต่อมาก็ทรงปรึกษาโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทันตามกฎของพระอัยการศึกว่า ในการที่ข้าศึกยกทัพเข้ามาเหยียบแดนถึงชานพระนคร พระองค์และพระเอกาทศรถทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำนุบำรุงเหล่าสมณพราหมณ์และประชาราษฎรมิได้ย่อท้อต่อความยากลำบาก ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จออกไปปราบอริราชศัตรู แต่แม่ทัพนายกองทั้งปวงกลับกลัวข้าศึกยิ่งกว่าพระอาญา ไม่พยายามยกไปรบให้ทัน ปล่อยให้ทั้งสองพระองค์ทรงช้างพระที่นั่งฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง จนถึงได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ ลูกขุนได้เชิญกฎพระอัยการออกค้นดู เห็นว่าจะได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากใกล้วัน 15 ค่ำ ( บัณรสี ) จึงทรงพระกรุณางดโทษไว้ก่อน ต่อวันหนึ่งค่ำ (ปาฏิบท) จึงให้ลงโทษประหาร
ตอนที่ 10 ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระราชดำรัสอันไพเราะไม่มีสุรเสียงขุ่นแค้นพระทัยเลยแม้แต่น้อยว่า “ ผู้ทรงเป็นใหญ่แห่งประเทศมอญ พระเกียรคิยศเลื่องลือไปไกลทั่วทั้งสิบทิศ ข้าศึกได้ยินก็เกรงพระบรมเดชานุภาพ ไม่กล้าสู้รบพากันหนีไป พระเจ้าผู้พี่ปกครองประเทศอันบริบูรณ์ยิ่ง เป็นการไม่สมควรเลยที่พระเจ้าพี่ประทับอยู่ใต้ร่มไม้ เชิญพระองค์เสด็จมาร่วมทำยุทธหัตถีร่วมกัน เพื่อแสดงเกียรคิไว้ให้เป็นที่ปรากฏ ต่อจากเราทั้งสองจะไม่มีอีกแล้ว การรบด้วยการชนช้างจะถึงที่สุดเพียงนี้ ต่อไปจะไม่ได้ไม่พบอีก การที่กษัตริย์ทำยุทธหัตถีกัน ก็คงมีแต่เราสองพี่น้อง ตราบชั่วฟ้าดินสลาย การทำยุทธหัตถีก็เปรียบประดุจการเล่นที่รื่นเริงของกษัตริย์เพื่อให้ชมเล่นเป็นขวัญตาแก่มนุษย์จนถึงเมืองสวรรค์ ขอทูลเชิญเทวดาและพรหมทั้งปวงมาประชุมในสถานที่นี้เพื่อชมการยุทธหัตถี ผู้ใดเชี่ยวชาญกว่า ขอทรงอวยพรให้ผู้นั้นรับชัยชนะ หวังจะให้พระเกียรติยศในการรบครั้งนี้ดำรงอยู่ชั่วฟ้าดิน ว่ากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้กระทำสงครามกัน ใครรู้เรื่องก็จะได้ยกย่องสรรเสริญกันตลอดไป ” เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ตรัสพรรณาดังนั้น พระมหาอุปราชาได้ทรงสดับก็บังเกิดขัตติยะมานะกล้าหาญขึ้น รีบไสช้างเข้าต่อสู้โดยเร็วด้วยความกล้าหาญ ช้างทรงของผู้เป็นใหญ่ทั้งสองพระองค์ เปรียบเหมือนช้างเอราวัณและช้างคิรีเมขล์อันเป็นพาหนะของวัสวดีมาร ต่างส่ายเศียรและหงายงาโถมแทงอยู่ขวักไขว่ สองกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่งามเลิศล้ำน่าชมยิ่งหนัก ประหนึ่งพระอินทร์และไพจิตราสูรทำสงครามกัน หรือไม่ก็เหมือนกับพระรามรบกับทศกัณฐ์ กษัตริย์อื่นในทุกประเทศและทุกทิศไม่เสมอเหมือน กษัตริย์แห่งกรุงสยามก็สามารถต้านพระมหาอุปราชาได้ ทั้งสองไม่ทรงเกรงกลัวกันเลย และไม่ได้ลดความห้าวหาญลงแม้แต่น้อย พระหัตถ์ก็ยกพระแสงของ้าวขึ้นกวัดแกว่งตามแบบฉบับ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรโถมเข้าใส่ไม่ทันตั้งหลักยั้งตัว ช้างทรงของพระมหาอุปราชาได้ล่างใช้งาทั้งคู่ค้ำคางเจ้าพระยาไชยานุภาพแหงนสูงขึ้น จึงได้ทีถนัด พระมหาอุปราชาเห็นเป็นโอกาส จึงเงื้อพระแสงของ้าวจ้วงฟันอย่างแรงราวกับจักรหมุน แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระมาลาหลบพร้อมกับใช้พระแสงของ้าวปัดเสียทัน อาวุธของพระมหาอุปราชาจึงไม่ถูกพระองค์ ทันใดนั้นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรเบนสะบัดได้ล่าง จึงใช้งางัดคอช้างของพระมหาอุปราชาจนหงาย ช้างของพระมหาอุปราชาเสียท่าต้องถอยหลังพลาดท่าในการรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงเงื้อพระแสงของ้าวฟันถูกพระมหาอุปราชาที่พระอังสาขวาขาดสะพายแล่ง พระอุระของพระมหาอุปราชาถูกฟันจนเป็นรอยแยก พระวรกายก็เอนซบอยู่บนคอช้างเป็นที่น่าสลดใจ สิ้นพระชนม์แล้วได้ไปสถิตในแดนสวรรค์ ควาญช้างของสมเด็จพระนเรศวร คือ นายมหานุภาพก็ถูกปืนข้าศึกเสียชีวิต ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทำยุทธหัตถีกับ มางจาชโร (พระพี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา) พระเอกาทศรถได้ใช้พระแสงของ้าวฟันถูกมางจาชโรตายซบอยู่บนหลังพลายพัชเนียรนั่นเอง และกลางช้างของพระเอกาทศรถ คือ หมื่นภักดีศวรก็ถูกปืนข้าศึกตาย ทั้งสองพระองค์รบกับข้าศึกในครั้งนี้ด้วยพระบรมเดชานุภาพ เพราะมีแค่ทหารสี่คนและพระองค์ทั้งสองเท่านั้น พระเกียรติจึงแผ่ไปไกล ทหารที่ติดตามไปตายสองและรอดกลับมาสอง กองทัพไทยติดตามมาทันเมื่อพระมหาอุปราชาขาดคอช้างแล้ว ต่างก็รีบเข้ามาช่วยรบ ฆ่าฟันทหาร พม่า มอญ ไทยใหญ่ ลาว เชียงใหม่ ตายลงจำนวนมากเหลือคณานับ ที่เหลือบุกป่าฝ่าดงหนีไป ทั้งนี้เป็นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์โดยแท้
ตอนที่ 9 ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก ขณะสมเด็จพระนเรศวรประทับบนเกย เพื่อรอพิชัยฤกษ์เคลื่อนทัพหลวง ได้บังเกิดเมฆก้อนใหญ่เย็นเยือกลอยอยู่ทางทิศ พายัพ แล้วก็กลับแลดูท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าโดยไม่มีอะไรบดบัง อันเป็นนิมิตที่แสดงพระบรมเดชานุภาพและชี้ให้เห็นความมีโชคดี สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพลตาม เกล็ดนาค ตามตำราพิชัยสงคราม จนปะทะเข้ากับกองทัพข้าศึก ช้างพระที่นั่งทั้งสอง คือ พระเจ้าไชยานุภาพ และ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้สดับเสียง ฆ้อง กลอง และเสียงปืนของข้าศึก ก็ส่งเสียงร้องด้วยความคึกคะนอง เพราะกำลังตกมัน ควาญบังคับไว้ไม่อยู่ มันวิ่งไปโดยเร็ว จนทหารในกองตามไม่ทัน มีแต่กลางช้างและควาญช้างสี่คนเท่านั้นที่ตามเสด็จไปด้วยจนเข้าไปใกล้กองหน้าของข้าศึก ช้างศึกได้กลิ่น มัน ก็พากันตกใจหนีไปปะทะกับพวกที่ตามมาข้างหลัง ช้างทรงไล่แทงช้างของข้าศึกอย่างเมามัน ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าศึกยิงปืนเข้าใส่ แต่ไม่ถูกช้างทรง การต่อสู้เป็นแบบตะลุมบอนจนฝุ่นตลบมองหน้ากันไม่เห็น เหมือนกับเวลากลางคืน สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสประกาศแด่เทวดาทั้งหลายบนสวสรรค์ทั้งหกชั้น และพรหมทั้งสิบหกชั้นว่า ที่ให้พระองค์ท่านมาประสูตรเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชย์สมบัติก็ด้วยหวังจะให้ทะนุบำรุงศาสนา และพระรัตนตรัยให้เจริญรุ่งเรือง เหตุใดเล่าเทวดาจึงไม่บันดาลให้ท้องฟ้าสว่างมองเห็นข้าศึกได้ชัดเจน พอดำรัสจบไม่นานก็เกิดพายุใหญ่พัดหอบเอาฝุ่นและควันหายไป ท้องฟ้าสว่างดังเดิม มองเห็นสนามรบได้ชัดเจน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงช้างประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข่อย มีทหารห้อมล้อมและตั้งเครื่องสูงครบครัน ทั้งสองพระองค์ทรงไสช้างเข้าไปหาด้วยพระพักตร์ที่ผ่องใสไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ข้าศึกยิงปืนไฟเข้ามาแต่ก็มิได้ต้องพระองค์เลย
ตอนที่ 8 ทัพหน้าไทยถอยไม่เป็นกระบวน ขณะที่พราหมณ์ผู้ทำพิธีและผู้ชำนาญไสยศาสตร์ ทำพิธีเบิกประตูป่าและพิธีละว้าเซ่นไก่ หลวงมหาวิชัยรับพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ ไปทำพิธีตัดไม้ข่มนามตามไสยศาสตร์ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงสดับเสียงปืนซึ่งไทยกับมอญกำลังยิงต่อสู้กันอยู่ แต่เสียงนั้นอยู่ไกลฟังไม่ถนัด จึงรับสั่งให้หมื่นทิพเสนารีบไปสืบข่าว หมื่นทิพเสนาขึ้นม้าไปอย่างรวดเร็ว ถึงกองทัพไทยที่กำลังล่าถอย รับพลางถอยพลาง มอญตามมาอย่างกระชั้นชิด หมื่นทิพเสนาได้นำขุนหมื่นผู้หนึ่งมาเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร ขุนหมื่นผู้นั้นกราบทูลว่า เมื่อเวลา 7 นาฬิกา ทัพไทยได้ปะทะกับทัพมอญที่ตำบลโคกเผาข้าว ทัพไทยต้องถอยร่นอยู่ตลอดเวลา เพราะกำลังข้าศึกมีมากกว่า สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสปรึกษาแม่ทัพนายกองว่าควรคิดหาอุบายแก้ไขการศึกษาอย่างไร บรรดาแม่ทัพนายกองกราบทูลขอให้พระองค์ส่งทัพไปยันไว้ ให้ข้าศึกอ่อนกำลังลงก่อนจึงเสด็จยกทัพหลวงออกต่อสู้ภายหลัง สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า “ทัพไทยกำลังแตกพ่ายอยู่ ถ้าจะส่งทัพไปต้านทานอีก ก็จะพลอยแตกอีกเป็นครั้งที่ 2 ควรที่ล่าถอยลงมาโดยไม่หยุดยั้ง เพื่อลวงข้าศึกให้ละเลิงใจ ยกติดตามมาไม่เป็นขบวนพอได้ทีให้ยกกำลังส่วนใหญ่ออกโจมตี ก็คงจะได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย” แม่ทัพนายกองเห็นชอบด้วยกับพระราชดำรินั้น สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้หมื่นทิพเสนากับหมื่นราชามาตย์ไปแจ้งทัพหน้าของไทยให้ล่าถอยโดยเร็ว ทัพหน้าไทยจึงรีบถอยร่น ทัพพม่าไม่รู้กลอุบาย ก็รุกไล่ตามจนเสียกระบวน
ตอนที่ 7 พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะหน้าของไทย ฝ่ายกองตระเวนของมอญ ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาสืบข่าวดูกองทัพไทยซึ่งจะออกมาต่อสู้ต้านทานจะได้นำข่าวมาพระมหาอุปราชา สมิงอะคร้าน สมิงเป่อ สมิงซายม่วน พร้อมด้วยกองม้าจำนวน 500 คน ได้ไปพบกองทัพไทยตั้งค่ายรอรับอยู่ที่หนองสาหร่ายจึงรีบกลับไปทูลแด่องค์พระมหาอุปราชา พระองค์ตรัสถามนายกองทั้งสามว่าประมาณกำลังพลฝ่ายไทยประมาณเท่าใด นายกองกราบทูลว่า ประมาณสิบ – สิบแปด หมื่น ดูเต็มท้องทุ่ง พระมหาอุปราชาตรัสว่ากษัตริย์ไทยทั้งสองพระองค์ออกมารอรับทัพเป็นกองใหญ่ แต่กำลังน้อยกว่าของเรา ของเรามากกว่าหลายส่วน เราจะต้องรีบโจมตีหักเอาให้ได้ตั้งแต่แรกจะได้เบาแรง แล้วจะได้ไปล้อมกรุงศรีอยุธยาชิงเอาราชสมบัติเห็นจะได้เมืองโดยสะดวก แล้วรับสั่งให้ขุนพลเตรียมทัพให้เสร็จแต่ 3 นาฬิกา พอ 5 นาฬิกา ก็ยกไปโดยกะสว่างเอาข้างหน้า พรุ่งนี้เช้าจะได้เข้าโจมตี เสนาผู้ใหญ่ได้ทำตามรับสั่ง เมื่อถึงเวลาตีห้า พระมหาอุปราชาแต่งองค์แล้วเสด็จประทับช้างพลายพัธกอซึ่งกำลังตกมัน พระยาศรีไสยณรงค์และพระราชฤทธานนท์ เมื่อได้รับพระบรมราชโองการให้ออกโจมตีข้าศึก จึงจัดทัพพร้อมด้วยกำลังพล 5 หมื่น และจัดทัพแบบตรีเสนา คือแบ่งเป็นทัพใหญ่ 3 ทัพ แต่ล่ะทัพแยกออกเป็น 3 กอง ดังนี้ กองหน้า เจ้าเมืองธนบุรี (นายกองหน้า ปีกซ้าย) พระยาสุพรรณบุรี ( นายกองหน้า ) เจ้าเมืองนนทบุรี (นายกองหน้า ปีกขวา) กองหลวง เจ้าเมืองสรรคบุรี (นายกอง ปีกซ้าย) พระยาศรีไสยณรงค์ (แม่ทัพ ขี่ช้างพลายสุรงคเดชะ) เจ้าเมืองสิงห์บุรี (นายกอง ปีกขวา) กองหลัง เจ้าเมืองชัยนาท (นายกองหลัง ปีกซ้าย) พระราชฤทธานนท์ (ปลัดทัพคุมกองหลัง) พระยาวิเศษชัยชาญ (นายกองหลัง ปีกขวา) ทัพไทยเคลื่อนออกจากหนองสาหร่ายถึงโคกเผาข้าวเวลาประมาณ 7 นาฬิกา ได้ปะทะกับทัพมอญ ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันด้วยอาวุธชนิดเดียวกันเป็นคู่ๆ ด้วยความสามารถ ต่างฝ่ายก็ล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่เหลือก็ต่อสู้กันอย่างไม่เกรงกลัว กองทัพมอญที่ตามมามีมากขึ้น ตีโอบล้อมกองทัพไทย ฝ่ายไทยกำลังน้อยกว่า กระจายออกรับไม่ไหว จึงต้องถอย ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถก็ทรงเตรียมกำลังทหารไว้อย่างพร้อมเพรียงตั้งแต่ยังไม่สว่าง จนแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า
ตอนที่ 6 พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรก็มีรับสั่งให้โหรหาฤกษ์ที่จะยกทัพหลวงไป หลวงญาณโยคและหลวงโลกทีปคำนวณพระฤกษ์ว่า พระนเรศวรได้จตุรงคโชคอาจปราบข้าศึกให้แพ้สงครามไป ขอเชิญเสด็จยกทัพออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 น. เมื่อได้มงคลฤกษ์ ทรงเคลื่อนพยุหยาตราเข้าโขลนทวาร พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่กองทัพเสด็จทางชลมารคไปประทับแรมที่ตำบลปากโมก เมื่อประทับที่ปากโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษาการศึกอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่จนยามที่สามจึงเสด็จเข้าที่บรรทม ครั้นเวลา 4 นาฬิกา พระองค์ทรงพระสุบินเป็นศุภนิมิติ เรื่องราวราวในพระสุบินของสมเด็จพระนเรศวรมีว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตรน้ำไหลบ่าท่วมป่าสูง ทางทิศตะวันตก เป็นแนวยาวสุดพระเนตร และพระองค์ทรงลุยกระแสน้ำอันเชี่ยวและกว้างใหญ่นั้น จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งโถมปะทะและจะกัดพระองค์ จึงเกิดต่อสู้กันขึ้น พระองค์ใช้พระแสงดาบฟันถูกจระเข้ตาย ทันใดนั้นสายน้ำก็เหือดแห้งไป พอตื่นบรรทมสมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนิมิตทันที พระโหราธิบดีถวายพยากรณ์ว่า พระสุบินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเทวดาสังหรให้ทราบเป็นนัย น้ำซึ่งไหลบ่าท่วมป่าทางทิศตะวันตกหมายถึงกองทัพของมอญ จระเข้คือพระมหาอุปราชา การสงครามครั้งนี้จะเป็นการใหญ่ ขนาดถึงได้กระทำยุตธหัตถีกัน การที่พระองค์เอาชนะจระเข้ได้แสดงว่าศัตรูของพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงด้วยพระแสงของ้าว และที่พระองค์ทรงกระแสน้ำนั้น หมายความว่า พระองค์จะรุกไล่บุกฝ่าไปในหมู่ข้าศึกจนข้าศึกแตกพ่ายไปไม่อาจจะทานพระบรมเดชานุภาพได้ พอใกล้ฤกษ์ยกทัพ สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถเสด็จไปยังเกยทรงช้างพระที่นั่ง คอยพิชัยฤกษ์อยู่ทันใดนั้นพระองค์ทอดพระเนตรพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงเรืองงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้หมุนเวียนรอบกองทัพเป็นทักษิณาวรรค 3 รอบ แล้วลอยวนไปทางทิศเหนือ สมเด็จพระพี่น้องทั้งสองพระองค์ทรงปิติยินดีตื้นตันพระทัย ทรงสรรเสริญและนมัสการ อธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุนั้นบันดาลให้พระองค์ชนะข้าศึก แล้วสมเด็จพระนเรศวรเสด็จประทับช้างทรง คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพ สมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จประทับช้างทรง คือ เจ้าพระยาปราบไตรจักร เคลื่อนขบวนทัพพยุหยาตราต่อไป
ตอนที่ 5 สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ สมเด็จพระนเรศวรมีพระราชดำรัสว่า เราเตรียมทัพจะไปตีเขมร ศึกมอญกลับมาชิงตัดหน้า ไม่ให้เราไปรบเขมร เราจะได้ยกไปทำสงครามเพื่อเป็นการรื่นเริงครั้งยิ่งใหญ่ และจะต้องเอาชนะให้ได้ก่อน แล้วพระองค์ก็มีรับสั่งให้ประกาศแก่เมืองราชบุรีให้เกณฑ์ทหารจำนวน 500 คน ไปซุ่มดูข้าศึกขณะกำลังข้ามสะพานที่ลำกระเพินและให้รีบตัดสะพานให้ขาด จุดไฟเผาอย่าให้เหลือ แล้วให้หลบหนีกลับมาอย่าให้ข้าศึกจับได้ พอรับสั่งเสร็จ ทูตจากเมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองสุพรรณบุรี ก็มาถึง เขาก็เบิกตัวเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรื่องราวและถวายสารให้ทรงทราบว่า ขณะนี้กองทัพมอญลาดตระเวนเข้ามาถึงเขตเมืองวิเศษไชยชาญแล้ว สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงเกรงกลัวข้าศึกแม้แต่น้อย กลับโสมนัสที่จะได้ปราบข้าศึก ทั้งสองพระองค์ปรึกษาถึงกลศึกที่จะรับมือกับมอญ ขุนนางได้ถวายคำแนะนำให้ออกไปรับข้าศึกที่นอกกรุงศรีอยุธยา ความคิดนี้ตรงกลับพระดำริของพระองค์ แล้วมีรับสั่งให้จัดทัพกำลังพลห้าหมื่น เกณฑ์จากหัวเมืองตรีและจัตวา 23 หัวเมืองใต้ เป็นทัพหน้า ให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพ พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ โดยให้กองหน้าออกไปต่อสู้ข้าศึก หากสู้ไม่ได้พระองค์จะออกไปต่อสู้ในภายหลัง ทั้งสองแม่ทัพรับพระบรมราชโองการแล้วก็ยกทัพไปตั้งอยู่ตำบลหนองสาหร่าย โดยตั้งค่ายเป็นรูปภูมิพยุหไกรสร ทหารทั้งปวงก็ขวัญดีมีความรื่นเริงทั่วหน้า ตั้งรอทัพข้าศึกอยู่
ตอนที่ 4 พระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร ขณะนั้น สมเด็จพระนเรศวรประทับออกขุนนางอยู่ในท้องพระโรง ได้มีพระราชดำรัสถามถึงทุกข์สุขของปวงชน ขุนนางก็กราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์ทรงตัดสอนคดีด้วยความยุติธรรม ราษฎรก็อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข แล้วพระองค์ก็มีพระราชดำรัสถึงการที่จะยกทัพไปตีเขมร โดยกำหนดวันที่จะยกทัพออกไป ส่วนทัพเรือจะให้เกณฑ์หัวเมืองปักษ์ใต้เพื่อยกไปตีเมืองพุทไธมาศและเมืองบักสักแล้ว ให้เข้าล้อมเมืองหลวงของเขมรไว้ พระองค์ทรงพระวิตกว่าพม่าจะยกกองทัพมา จะได้ให้ใครอยู่ป้องกันบ้านเมืองรอพระองค์เสด็จกลับมา ทรงเห็นว่าพระยาจักรีเป็นผู้ที่เหมาะสมก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาบ้านเมือง แต่ทรงคาดคะเนว่าทัพพม่าพึ่งจะแตกไปเมื่อต้นปี ปีนี้คงจะยังไม่ยกมา ถ้ามีก็เห็นจะเป็นปีหน้า ขณะที่ทรงปรึกษากันอยู่นั้น ทูตเมืองกาญจนบุรีก็มาถึง และกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระองค์กลับทรงยินดีที่ได้รับข่าวศึก จึงให้พระเอกาทศรถเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ
ตอนที่ 3 พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี พระมหาอุปราชายกทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ (ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างพม่ากับไทยในปัจจุบัน) ก็ผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้ามาในเขตสยามทันที และพระองค์ได้ทรงรำพันถึงนางสนมว่า (24) เสด็จมาลำพังพระองค์เดียวเปล่าเปลี่ยวใจและน่าเศร้านัก เมื่อทรงชมต้นไม้และดอกไม้ที่ทรงพบเห็นระหว่างทางก็ค่อยเบิกบานพระทัยขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่วายคิดถึงนางสนมกำนัลทั้งหลาย (25) ทรงเห็นต้นสลัดไดทรงดำริว่าเหตุใดจึงต้องจากน้องมานอนป่า มาเพื่อทำสงครามกับข้าศึก เห็นต้นสละที่ต้องสละน้องมาเหมือนชื่อต้นไม้ เห็นต้นระกำที่ชื่อต้นไม้ช่างเหมือนอกพี่แท้ๆ (26) ต้นสายหยุดเมื่อสายก็หมดกลิ่น แต่ใจพี่แม้ยามสายก็ไม่คลายรักน้อง กี่วันกี่คืนที่จากน้องพี่มีแต่ความทุกข์คิดถึงน้องทุกค่ำเช้า ไม่รู้ว่าจะหยุดรักน้องได้อย่างไร (27) กองทัพมอญดูมืดฟ้ามัวดิน ทั้งกองทัพ ม้า ช้าง ถืออาวุธเป็นมันปลาบ เห็นธงปลิวไสวเต็มทองฟ้า ฝ่ายเจ้าเมืองกาญจนบุรี จัดทหารไปสืบข่าวในเขตมอญ ทหารก็ลัดเลาะไปทางลำน้ำแม่ กษัตริย์ เห็นกองทัพยกมาก็ตกใจ เห็นฉัตรห้าชั้นก็ทราบว่าเป็นพระมหาอุปราชายกทัพมา ก็รีบกลับมาแจ้งข่าวศึกให้เจ้าเมืองกาญจนบุรีทราบ เจ้าเมืองทราบข่าวศึกก็ตกใจมากจนขวัญไม่อยู่กับตัว ปรึกษากันแล้วก็เห็นว่าเมืองเรามีกำลังน้อย ต่อสู้ก็คงสู้ไม่ได้จึงชวนกันหลบหนีเข้าป่าไป ส่วนกองทัพพระมหาอุปราชาเร่งยกทัพมาถึงแม่น้ำลำกระเพิน ให้พระยาจิตตองทำสะพานไม้ไผ่ปูเพื่อยกพลเดินข้ามฝาก ชาวสยามเห็นชัดเช่นนั้นจึงมีสารลงชื่อทุกคนรายงานเรื่องข้าศึกยกทัพเข้ามา แล้วให้ขุนแผน (นายด่าน) ขี่ม้าเร็วมาบอกพญามหาดไทย เพื่อกราบทูลเรื่องให้ทรงทราบ กองทัพมอญยกทัพมาถึงเมืองกาญจนบุรีเห็นบ้านเมืองว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดออกสู้รบ จะจับคนไทยมาสอบถามก็ไม่มีเลยสักคน จึงรู้ว่าคนไทยทราบข่าวและหลบหนีไปหมดแล้ว พระมหาอุปราชาจึงให้ยกทัพเข้าไปในเมือง แล้วยกทัพต่อไปถึงตำบลพนมทวนเกิดลมเวรัมภาพัดหอบเอาฉัตรหัก พระมหาอุปราชาตกพระทัย ทรงให้โหรทำนาย โหรทราบถึงลางร้ายแต่ไม่กล้ากราบทูลตามความจริง กลับทำนายว่า เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดในตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดในตอนเย็นจะได้ลาภ และจะชนะศึกสยามในครั้งนี้ พระมหาอุปราชาได้ทรงฟังก็ทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พระองค์อดที่จะหวั่นในพระทัยไม่ได้ด้วยเกรงพ่ายแพ้ข้าศึก ด้วยความหมกมุ่นในพระทัยก็ทรงระลึกถึงพระราชบิดาว่าถ้าพระองค์เสียโอรสให้แกข้าศึก จะต้องโทมนัสใหญ่หลวง เพราะเปรียบเหมือนพระองค์ถูกตัดพระพาหาทั้งสองข้างทีเดียว การรบกับพระนเรศวรใครก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้ เสียดายแผ่นดินมอญจะต้องพินาศเพราะไม่มีใครอาจจะต่อสู้ต้านทาน สงสารสมเด็จพระราชบิดา ที่จะต้องเปล่าเปลี่ยวพระทัย ทั้งพระองค์ก็ทรงชราภาพมากแล้ว เกรงจะพ่ายแพ้เสียทีแก่ชาวสยาม สงครามครั้งนี้หนักใจนัก เรารู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ ลูกตายใครจะเก็บผีไปให้ คงจะถูกทิ้งอยู่ไม่มีใครเผา พระองค์จะอยู่ในพระนครแต่ลำพังพระองค์เดียว ไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์ริเริ่มสงครามเพียงลำพังได้อย่างไร พระองค์คงจะต้องคับแค้นพระทัย ฝ่ายเจ้าเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ คือ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองสุพรรณ ก็พากันอพยพผู้คนหนีเข้าป่า แล้วมีสารไปกราบให้พระนเรศวรทรงทราบ
ตอนที่ 2 เหตุการณ์ทางเมืองมอญ ฝ่ายนครรามัญ คือ หงสาวดี ทราบข่าวว่าพระมหาธรรมราชากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาถึงแก่พิราลัย พระราชโอรส คือ พระนเรศวรได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ จึงได้ประชุมหมู่อำมาตย์ปรึกษากันว่า กรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ บางทีโอรสทั้งสองพระองค์อาจจะวิวาทกันเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ เราควรยกทัพไปดูลาดเลา ถ้าได้เปรียบก็จะได้รบแย่งชิงเอาบ้านเมืองเสีย ขุนนางทั้งหลายต่างก็เห็นชอบตามพระราชดำริ จึงรับสั่งให้พระมหาอุปราชาราชโอรสจัดเตรียมทัพพร้อมด้วยทัพเมืองเชียงใหม่เป็นจำนวนห้าแสนคนยกไปตีกรุงศรีอยุธยา พระมหาอุปราชากราบบังคมทูลว่าโหรทำนายว่าพระองค์เคราะห์ร้ายชะตาถึงฆาต พระเจ้าหงสาวดีจึงตรัสเป็นเชิงประชดว่า “เจ้าอยุธยามีโอรสเก่งกล้าสามารถในการรบ ไม่ต้องให้พระบิดาใช้ แต่กลับต้องไม่ให้ทำศึกเสียอีก ถ้าเจ้าเกรงว่าเคราะห์ร้ายก็อย่าไปรบเลย เอาผ้าสตรีมานุ่งเถอะจะได้หมดเคราะห์” พระมหาอุปราชาทรงอับอายขุนนางข้าราชการเป็นอันมาก จึงเตรียมยกทัพโดยเกณฑ์จากหัวเมืองต่างๆรวมจำนวนห้าแสนคนเตรียมยกทัพไปในเวลาเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แล้วเสด็จกลับตำหนักสั่งลาพระสนมทั้งหลายด้วยความอาวรณ์จนถึงรุ่งเช้า ยังไม่ทันสว่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วก็ไปเฝ้าพระราชบิดาเพื่อ ทูลลาไปราชสงคราม ณ กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าหงสาวดีก็พระราชทานพรให้ชนะศึกสยามในครั้งนี้ แล้วก็ทรงเตือนว่าสงครามนั้นมากด้วยกลอุบาย อย่าคิดอะไรตื้นๆ อย่าทะนงตน แล้วทรงชี้เรื่องที่โบราณสั่งสอนไว้ที่เป็นประโยชน์ต่อการรบ คือ โอวาท 8 ประการ 1. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น) 2. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา) 3. รู้จักเอาใจทหารให้หึกเหิมอยู่เสมอ (เอาใจทหารหาญ เริงรื่น อยู่นา) 4. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา) 5. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน) 6. รู้หลักพิชัยสงคราม การตั้งค่าย (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา) 7. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน) 8. อย่าลดความเพียรหรืออย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ) ครั้งทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว ก็กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่งพลายพัทธกอ ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปโดยทางสถลมารคทันที
เนื้อย่อ " ลิลิตตะเลงพ่าย "
ตอนที่ 1 เริ่มบทกวี (ร่าย) กล่าวสดุดีที่ทรงมีชัยชนะในการทำยุทธหัตถีต่อพระมหาอุปราชาว่าพระเกียรติเกริกไกรไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ข้าศึกเกรงพระบรมเดชานุภาพไม่กล้าเสี่ยงทำสงคราม จึงพากันยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมีความสุขสำราญพรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติ พร้อม สรรพด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอันสมบูรณ์ บ้านเมืองมีแต่ความสงบปราศจากศึกสงคราม ข้าราชการ ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในก็พากันเฝ้าแหนอย่างพร้อมพรั่ง เหล่าทหารพล ช้าง ม้า อาวุธ ปืนไฟ ก็มีมากมาย ทั่วโลกล้วนสรรเสริญสดุดี (โคลงสี่สุภาพ) บุญญานุภาพแห่งพระนเรศวรมหาราชกษัตริย์แห่งแผ่นดินสยาม ข้าศึกได้ยินพระเกียรติยศชื่อเสียง ก็พากันเกรงพระบรมเดชานุภาพ ฤทธิ์ของพระองค์ดั่งพระรามที่ปราบยักษ์ก็ปานกัน เมื่อทำสงครามข้าศึกก็ต้องพ่ายแพ้ทุกครั้ง ข้าศึกพินาศไปเหมือนทหารยักษ์ พระองค์ดั่งพระรามอวตารลงมาปราบยุคเข็ญ ข้าศึกแม้ตั้งแสนก็ไม่อาจต่อสู้ฤทธิ์พระองค์ได้ พากันตกใจกลัวแล้วหนีไป เสร็จศึกแล้วก็ขึ้นครองราชสมบัติ พระบารมีของพระองค์ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นดุจแสงเดือนที่ส่องอยู่บนท้องฟ้าทุกแห่งหนทั่วบ้านเมืองมีแต่ความสมบูรณ์ ปราศจากความทุกข์ใดๆทั้งสิ้น จนเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญทั่วไปทุกแหล่งหล้า
ตอนที่ 1 เริ่มบทกวี (ร่าย) กล่าวสดุดีที่ทรงมีชัยชนะในการทำยุทธหัตถีต่อพระมหาอุปราชาว่าพระเกียรติเกริกไกรไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ข้าศึกเกรงพระบรมเดชานุภาพไม่กล้าเสี่ยงทำสงคราม จึงพากันยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมีความสุขสำราญพรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติ พร้อม สรรพด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอันสมบูรณ์ บ้านเมืองมีแต่ความสงบปราศจากศึกสงคราม ข้าราชการ ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในก็พากันเฝ้าแหนอย่างพร้อมพรั่ง เหล่าทหารพล ช้าง ม้า อาวุธ ปืนไฟ ก็มีมากมาย ทั่วโลกล้วนสรรเสริญสดุดี (โคลงสี่สุภาพ) บุญญานุภาพแห่งพระนเรศวรมหาราชกษัตริย์แห่งแผ่นดินสยาม ข้าศึกได้ยินพระเกียรติยศชื่อเสียง ก็พากันเกรงพระบรมเดชานุภาพ ฤทธิ์ของพระองค์ดั่งพระรามที่ปราบยักษ์ก็ปานกัน เมื่อทำสงครามข้าศึกก็ต้องพ่ายแพ้ทุกครั้ง ข้าศึกพินาศไปเหมือนทหารยักษ์ พระองค์ดั่งพระรามอวตารลงมาปราบยุคเข็ญ ข้าศึกแม้ตั้งแสนก็ไม่อาจต่อสู้ฤทธิ์พระองค์ได้ พากันตกใจกลัวแล้วหนีไป เสร็จศึกแล้วก็ขึ้นครองราชสมบัติ พระบารมีของพระองค์ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นดุจแสงเดือนที่ส่องอยู่บนท้องฟ้าทุกแห่งหนทั่วบ้านเมืองมีแต่ความสมบูรณ์ ปราศจากความทุกข์ใดๆทั้งสิ้น จนเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญทั่วไปทุกแหล่งหล้า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)